สำหรับวันนี้เราจะเริ่มต้นเรื่องเล่าจากทางบ้านตอนใหม่ ในตอนที่ชื่อว่า “จงไปวัดอกแตกแห่งเมืองละโว้”หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผมได้ทำนายดวงเกี่ยวกับเลขรหัสชีวิต 587 โดยความหมายของเลขนี้จะได้ความหมายว่า เจ้าชะตาในช่วงนี้จะมีเกณฑ์เข้าวัด ทำบุญ บริจาคบ่อยๆ เป็นวัดเก่าแก่
ที่ตัวของเจ้าชะตามีความเกี่ยวข้องกันแต่อดีต แต่หนหลัง รวมถึงจะพบเจอเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ และสุดท้ายเจ้าชะตาจะเกี่ยวข้องหรือพบเจอเรื่องลี้ลับอยู่ในช่วงนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อน และรุ่นน้องของผมก็ทักเข้ามาว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันมาฆบูชา สนใจไปเดินสายเข้าวัด ทำบุญด้วยกันไหม สัก 3-4 วัน แบบทริปสายบุญ
ผมดูเวลาพร้อมเชคๆตารางนั่นนี่ ก็โอเค ไปด้วยดีกว่าเพราะว่าไม่ได้ออกไปยาวๆแบบนี้นานแล้วครับ
ตัดภาพมาวันศุกร์ที่ 23 พวกเราทั้ง 3 คนเดินทางกันมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไล่มาตั้งแต่ กทม อยุธยา อ่างทองจนมาถึงจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งวัดที่เป็นปลายทางของเราที่เป็นวัดสุดท้าย
นั่นคือวัดท่าซุง ซึ่งเราอยากมากราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั่นเองครับผม ตอนที่พวกเราถึงวัดท่าซุงนั้นเรียกว่าถึงค่อนข้างจะเย็นมากแล้วครับ
ผมกับแก๊งคุยกันว่า พวกเราหา รร นอนกันดีกว่า ด้วยความที่พวกเราเป็นสายสบายๆง่ายๆอยู่แล้ว เพื่อนที่ชวนผมมาเลยบอกว่า ไป รร นี้ดีไหม.. ใกล้ๆ ไม่ไกลมากจากวัดท่าซุงราวๆ 20-30 นาทีได้
โดยราคาเข้าพักไม่แพงมาก เพียงคืนละ 550 บาท แถมราคานี้รวมข้าวเช้าให้แล้วด้วยนะ สนใจไปลองพักดูไหมละ? ด้วยความที่ผมเป็นสายตามใจเพื่อนๆอยู่แล้ว ก็ตกลงปลงใจ เข้าพักที่ รร แห่งนี้
ต้องบอกก่อนว่า รร แห่งนี้ ไม่ได้ติดถนนหลักนะครับ ต้องเข้ามาประมาณราวๆ กิโลนึงเห็นจะได้ กว่าจะถึงที่พัก โดยที่พักแห่งนี้เป็นบังกะโล ง่ายๆคือ แยกหลังกันตัวผมเองอยู่กับน้องคนนึง
ส่วนเพื่อนอีกคนจะแยกไปอยู่อีกห้องหนึ่ง โดยบรรยากาศโดยรอบเรียกว่าเป็นโรงแรมแยกห่างจากพื้นที่อื่นๆ โดยรอบ รวมถึงออกแนวป่าๆหน่อยครับ หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หิวๆกันเลยวาปไปหาข้าวเย็นกินกัน โดยในครั้งนี้เพื่อนผมพาขับไปเที่ยวที่ตลาดริมแม่น้ำ ของกินเอย ขนมเอย เรียกว่าเยอะมากเรียงรายริมทางตลอด พวกเราทั้ง 3 แยกย้ายกันไปซื้อข้าว ขนมกัน
และกลับมารวมตัวกันหาโต๊ะนั่งกินข้าวเย็นพร้อมกัน รวมถึงเม้ามอยเรื่องนั่นนี่ กันไปตามประสาหนุ่มๆทั้ง 3 คนครับ กว่าที่พวกเราจะกลับเข้ามาห้องก็เกือบ 2 ทุ่มได้ ด้วยอาการเพลียแดด
ผมจึงแอบงีบไปก่อน เพื่อนอีก 2 คน ก็นั่งกินลูกชิ้นปิ้ง ขนมนั่นนี่ที่ซื้อจากตลาด กินกันไป จนผมตื่นขึ้นมาราวๆ 5 ทุ่มกว่าๆได้ งัวเงียๆได้ที่เลย แบบทำไมตื่นหว่า? ทุกทีจะนอนนานกว่านี้
แต่อาจจะเพราะเหนียวตัวก็เป็นได้ครับ เลยตื่นขึ้นมาหันไปดู เพื่อนผมไม่อยู่ในห้องแล้ว มีเพียงแต่น้องผมที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของมัน เหมือนว่าน้องผมได้ยินเสียงขยับตัวหรืออะไรสักอย่าง
มันหันมาพร้อมพูดขี้นว่า ตื่นแล้วหรอพี่ นอนนานจริง ผมได้ยินอย่างนั้นจึงพูดบอกออกไปว่า เออๆ ตื่นแล้ว สายตาผมเหลือบไปเห็นว่า 5 ทุ่มกว่าๆ ได้ ผมจึงลุกขึ้นมาแล้วบอกกับมันว่า
พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน เหนียวๆ ตัว มันบอกได้เลยพี่ผมเล่นเกมส์อยู่ พี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับ หลังจากผมตระเตรียมของนั่นนี่เรียบร้อยแล้ว ก็เดินตรงไป ที่ห้องน้ำ ทำธุระให้เรียบร้อยพออาบเสร็จ
ก็เดินมาล้มตัวลงบนที่นอนแบบเดิม คุยโทรศัพท์นั่นนี่เรียบร้อย ก็บอกว่า ขอตัวไปนอนต่อก่อนนะ แบบว่าง่วงๆ ถ้าเสร็จแล้วอย่าลืมปิดไฟในห้องด้วยนะ เดี๋ยวแยงตา แต่เปิดไฟในห้องน้ำไว้ก็พอ
พอผมบอกน้องเสร็จก็ผลอยหลับไปครับ เหมือนผมหลับไปได้ไม่นานนัก อยู่ๆ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงเคาะข้างกำแพง มาจากด้านนอกห้องนอน ตรงใกล้ๆหน้าต่าง ดังปัก 1 ครั้ง
คิดในใจ คงเป็นเสียงลมรึอะไรบางอย่างมากระแทกมั้ง คิดในใจช่างมัน ผมยกนาฬิกาขึ้นมานี่มันเกือบจะตี 2 แล้ว ช่างมันๆไม่มีอะไรหรอก ผมก็พยายามข่มตานอนต่อไปได้ไม่นานนัก เอาอีกละ เสียงเคาะอีก 1 ที ดัง ตุบ
บนหัวนอน เอาละ ใครวะมันแกล้ง ผมได้แต่คิดในใจ มันทำให้ผมนอนไม่หลับเพราะว่าพอผมตื่นขึ้นมาในรอบนี้ สายตาผมมองไปรอบๆ ห้อง มันทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังมีคนมาจ้องมองเราอยู่
ไม่ว่าจะเป็นปลายเตียงของเรารวมไปถึงมุมที่ผมนอนอยู่นั้น ชายตาผมสามารถมองเห็นบริเวณประตูทางเข้าได้อีกด้วย ที่มีแสงสว่างเบาๆ จากห้องน้ำ แต่มันรู้สึกได้ว่ามีคนมองมาหาเราจากทางหน้าประตู
ด้วยความหงุดหงิด ปนอารมณ์ง่วงๆอยากนอน ผมไม่รู้ทำไงดี จึงลุกพรวดดดลงจากเตียงพร้อมเดินไปหาเตียงที่น้องผมนอนอยู่ พร้อมพูดขึ้นมาว่า เหยๆ มีใครไม่รู้มันมาเคาะกำแพงข้างๆ
กับเคาะกำแพงบนหัวนอนพี่ กวนพี่มากเลยจนพี่นอนไม่ได้เลยเนี่ย น้องบอก ไม่เป็นไรพี่ นอนๆไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ด้วยความที่หงุดหงิด ง่วงๆ ผมได้แต่บอกออกไปว่าจะทำบุญให้นะ
อย่าเพิ่งกวน คนง่วงจะหลับจะนอนนะ พร้อมเรียก “สมบัติ“(จากเรื่องเล่าในตอนที่ชื่อว่า สมบัติ นายคือใครกัน?) ให้สมบัติมาไล่ๆ พวกที่มาก่อกวนให้หน่อย หลังจากนั้นไม่นานนัก
ผมก็ผลอยหลับไป นอนไปได้สักพัก ด้วยอาจจะเพราะผมตื่นเวลานี้อยู่บ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกันครับ ผมตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า รวมถึงเป็นเวลาที่เตรียมอาบน้ำและต้องไปลุยต่อตามที่ได้นัดหมายกับเพื่อนอีกห้อง
ตัดภาพมาตอนเช้าหลังจากเราทำธุระนั่นนี่เสร็จแล้ว ผมจึงชวนน้องผมเดินไปกินข้าวเช้า ระหว่างเดินไปนั้นเห็นเพือนของผมนั่งทางข้าวเช้าอยู่แล้ว ผมจึงบอกว่า รอด้วยๆ ขอไปตักข้าวแล้วจะมานั่งโต๊ะด้วยกัน
มันบอกว่าได้ๆ เดี๋ยวกินรอ หลังจากตักเรียบร้อยแล้ว ผมจึงมานั่งที่โต๊ะ พร้อมทั้งจุดประเด็นเรื่องเมื่อคืน โดยผมเริ่มเล่าเรื่องอย่างที่เล่าข้างต้น พอเล่ามาได้สักพักหนึ่ง น้องผมจึงพูดสวนขึ้นมาว่า
พี่ๆ พี่รู้สึกไหม ว่ามีคนมายืนปลายเตียงพี่ แถมมันยังจ้องหน้าพี่อยู่ด้วยนะ แถมในห้องที่เรานอนอยู่ไม่ได้มีแค่คนเดียว ที่หน้าห้องก็มีอีกคนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เขายืนตรงนั้นแหละพี่ ผมไม่กล้าบอก
ผมบอกใช่ๆ ผมสัมผัสได้ว่ามีคนมองจากหน้าประตู ส่วนอีกคนที่เคาะ เขายืนอยู่บนหัวพี่ ก้มหน้าจ้องหน้าพี่อยู่ แถมมันนี่แหละ เคาะกำแพง ให้พี่ตื่น ผมก็ได้แต่คิดว่า ก็ว่าทำไมผมถึงนอนไม่หลับ
ก็เพราะว่ามีคนลุมรักอีกแล้วสิเรา ไม่ได้มาแค่ 1 แต่รอบนี้มาถึง 3 คนเลยทีเดียวเชียวนะ หลังจากเล่าเรื่องจบลง เลยหันไปถามเพื่อน เพื่อนบอกไม่เจออะไรนะ สงสัยไม่ได้เปิดใจ รับรู้อะไร เราได้แต่บอกว่า
เออๆดีแล้วแหละ นี่เจอเรื่อยๆเลย ฮ่าๆ หลังจากกินข้าวเสร็จเรากับน้องก็เดินกันกลับมาที่ห้องพัก เพื่อเก็บของเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป แต่ด้วยความที่มันยังคาใจ
ผมเลยลองเดินไปรอบๆบ้านที่เราพัก โดยไล่ดูตั้งแต่มุมที่นอน แล้วก็คิดว่าเออใครจะเคาะได้นะ จุดนึงก็สูงเพราะเป็นจุดติดริมหน้าต่าง ส่วนตรงหัวนอนก็เป็นอีกจุดที่มีขอบกัน คนมันต้องขยันมากเลยนะ
คือต้องมุดตัวลงหน่อย แล้วก็ยกมือขึ้นรึหาไม้มาเคาะเล่นตอนตี 2-3 ได้ ขยันจริงๆ หลังจากหายสงสัยแล้วเพราะรู้แล้วแบบชัดๆ ว่ามานอนที่นี่โดนแล้วกรู ฮ่าๆ
หลังจากเรื่องราวต่างๆที่จังหวัดอุทัยธานีจบลง จุดหมายปลายทางต่อมาของเรานั้นคือ จังหวัดชัยภูมินั่นเอง แต่ระหว่างทางที่เราก็มีแวะตามวัดที่จังหวัดนครสวรรค์ สวยมาก หากมีเวลาคงได้เล่าเพิ่มครับ
ตัดภาพมาแบบไวๆ ตอนนี้เราเดินทางมาถึงสำนักสงฆ์ ที่จังหวัดชัยภูมิกันแล้วครับ พวกเรามาถึงก็รีบเก็บข้าวของ พร้อมของที่นำมาถวายหลวงปู่ หอบหิ้วของลงมา
จนมาถึงลานสนทนาธรรม เห็นหลวงปู่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่ พอท่านเห็นจึงเรียกเรามาวางของก่อนพร้อมนั่งสนทนาธรรมกัน โดยการสนทนาธรรมนี้เป็นระหว่างผมกับ ทางหลวงปู่
โดยมีใจความว่า ก่อนที่เราจะขึ้นเขามาในครั้งนี้ ตัวผมได้ช่วยคนไว้ 3 คนใช่หรือไม่?
คนแรกเกี่ยวข้องกับการเป็นมือที่ 3 รักๆ ใคร่ๆ เรื่องแปลกๆ ท่านกล่าวว่า อะไรที่มันยาก มันต้องพอ ไม่ไปต่อ หากทำไปมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตกนรก แต่จะไปขุมนรกไฟบรรไลกัน ช่วยไม่ได้แล้วนะแบบนั้น
สำหรับคนที่สองนั้น เขาเคยให้สัญญาไว้แล้ว ว่าจะไม่ฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังทำอีก เราช่วยเขาได้แค่ครั้งนี้นะ จำเอาไว้ รวมถึง สัญญากับสัจจะนั้นแตกต่างกัน สัญญาแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้
แต่สัจจะ เมื่อให้แล้วต้องทำตามนะ ไม่งั้น มันจะไม่เป็นผลดี ทำรอบนี้แล้ว ไม่ได้กลับมาแล้วนะ จำเอาไว้ สำหรับคนที่สาม ในตอนนั้นเองผมลืมจริงๆ ผมยอมรับ ผมลืมไปเลย ผมไปช่วยใคร?
ท่านเกริ่นว่า เพื่อนเรา ที่มีญาติหรือ พ่อแม่ ที่ป่วยอยู่ไง ป่วยจนเขาทุกข์ใจ จนมาปรึกษาเรา ให้เราแนะนำรึช่วยไง พอช่วยแล้วเขาก็ดีขึ้น จำได้ไหม เชื่อไหม ตอนนั้นก็ยังคิดใครน๊าๆ
ใครหนอ ช่วยเยอะมากเลย จำไม่ได้ครับ หลวงปู่ ผมตอบท่านกลับไปแบบซื่อๆ ท่านบอกเอาหล่ะไม่เป็นไร คิดได้ จำได้ค่อยมาคุยกัน ยังมีเวลาพักอยู่ ไม่ได้รีบกลับใช่ไหม
ผมตอบท่านไปว่าใช่ครับ ไม่ได้รีบกลับ ท่านบอกว่างั้นแยกย้ายกันไปเก็บของก่อน นี่ก็ช่วงเย็นๆ แล้ว หาอะไรทานกันก่อน หลังจากทานอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกผมนั้นมีโอกาสทำวัตรเย็นร่วมกันกับบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่มาอยู่ที่นี่ เพื่อร่วมกันทำบุญในวันสำคัญทางศาสนาของเรานั่นเองครับ
อ่อลืมบอกไปพวกเรา 3 คนหาที่หลับที่นอนได้ที่กุฎิหลังหนึ่งที่เคยมาพักอยู่เป็นประจำ โดยขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกุฎิหลังนี้กันก่อนครับ
พวกเราจะได้เห็นภาพ โดยกุฏิที่เรามาอาศัยหลังนี้ จะมีหน้าต่างบานใหญ่ๆ อยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ด้านหน้าจะมีพระพุทธรูปอยู่ 3 องค์ครับ โดยด้านข้างทั้งสองของกุฎิหลังนี้ จะเป็นทางไหลลงไปยังด้านล่าง
เป็นกุฎิยกสูงครับ เรียกง่ายๆว่า คนปกติไม่สามารถยืนข้างๆกุฎิได้ครับ หลังจากทำนั่นนี่เสร็จ ราวๆ 4-5 ทุ่มแล้ว ผมบอกกับแก๊งว่าขอตัวนอนก่อนนะ หากใครนอนคนสุดท้าย อย่าลืมปิดไฟนอนกันด้วยล่ะ
หลังจากนอนไปได้สักพัก อยู่ดีๆผมเหมือนถูกปลุกขึ้นมา ยกนาฬิกาขึ้นมาดูจำได้ว่า เวลานั้นน่าจะราวๆ ตี 2 กว่าๆได้ ไม่แน่ใจว่าเสียงกรน หรือ เสียงพัดลม ไหมนะ เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง พูดเบาๆ เย็นๆ
ดังเข้ามาในหูช้าๆว่า “ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย” ดังมาจากนอกกุฎิที่ผมนอนอยู่ แต่ในใจก็คิดว่า สงสัยหูจะแว่วมั้ง ไม่ได้คิดอะไร…. คงหูแว่วแหละ แล้วก็กล่อมตัวเองไปได้สักพักก็หลับไป
เหมือนได้ยินเสียงไก่ร้องขึ้นมา ก็คิดว่าเออ สงสัยจะเช้าแล้ว ผมตื่นขึ้นมาพร้อมหันไปคุยกับน้องคนดีคนเดิมว่า เหยๆ พี่ได้ยินเสียงแปลกๆ เมื่อคืนนี้ เขาร้องให้ช่วยเขาหน่อย น้องผมบอกว่า
งั้นลองไปถามหลวงปู่สิพี่ เผื่อจะได้คำตอบอะไร? ผมได้แต่เก็บคำถามและความสงสัยเอาไว้ ลุกขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หลังจากถึงเวลาอันเหมาะสม เห็นว่าหลวงปู่ท่านว่างอยู่ ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ
ผมจึงรีบเดินไปหาหลวงปู่ท่าน พร้อมทั้งสอบถามเรื่องที่ค้างคาใจเมื่อคืนนี้ ว่าที่เราได้ยินนั้นมันแค่คิดไปเอง หรือว่าเข้าใจผิดไปเอง มันสงสัยนินา หลังจากที่ท่านฟังเรื่องเล่าเหล่านั้นจบลง
ท่านบอกว่า เรามาที่สำนักสงฆ์ก็ดีแล้วนะ ไปช่วยปลดปล่อยพวกเขาหน่อย ถูกกักขังไว้บริเวณที่เรานอนอยู่นั่นแหละ มันมีคนบาปหยาบช้า มาทำพิธี เอาพวกเขาเหล่านั้นมาฝังดินทำพิธีไว้ มันหนีกลับไปแล้ว
เรื่องบางเรื่องนั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์ ท่านทำไม่ได้ แต่เราที่เป็นฆารวาสนั้นสามารถทำได้ ไปช่วยเขาเถอะ ปลดปล่อยเขา ให้เขามีความสุข
ผมได้แต่มองหน้า รับคำหลวงปู่ในใจ ว่าได้ครับ ผมจะพยายามช่วยเขาให้ได้ จากนั้น ก็ไปทำนั่นนี่ ตามประสา เพื่อที่จะรอเวลาในการทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านี้
ตกกลางคืนในวันนั้น ผมได้นัดแนะกับน้องคนดีคนเดิม อย่างดิบดีว่า เดี๋ยวหลังจากกินข้าวเสร็จสัก 3-4 ทุ่มนะ เตรียมตัวไว้ เดี๋ยวเราไปทำพิธีด้วยกัน แต่เจ้ากรรม พวกผมดันหลับกันไปอีกแล้ว
น้ำท่าก็ไม่อาบ ผมยอมรับตรงๆว่า พวกผมอยู่ๆ ผลอยหลับกันไปทั้ง 2 คน ปล. อีกคนไม่ไปนะครับ มันหลับไปแล้ว อยู่ๆก็เหมือนถูกปลุกขึ้น ดูเวลาเห้ยจนมาช่วงตี 2.30 น. ผมสะกิดน้องแล้วพูดว่า
เหยย ตื่นๆ ลุกๆ ไปๆ ไปช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านี้ที่ถูกกักขังไว้กัน น้องผมงัวเงียๆ ตื่นขึ้นมา พร้อมรับคำว่า งั้นไปเข้าห้องน้ำกันก่อน หลังจากที่เดินกันออกมาจากกุฎิที่เรานอนกัน
เออวันนี้ท้องฟ้า พระจันทร์สวยดี อากาศเย็นๆ ผมและน้องเดินมาเข้าห้องน้ำ หลังจากผมทำธุระเสร็จเรียบร้อยเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงน้องพูดลอยขึ้นมาว่า พี่ๆ พี่รอก่อนนะ
พอดีผมไม่ไหว ขอนั่งนานๆ พี่รอนานหน่อยนะ ผมได้ยินดังนั้น จึงค่อยๆ เดินออกมาตรงลานกว้างๆ บริเวณนั้น จากนั้น ผมยืนมองที่ท้องฟ้านั้น พร้อมกล่าวคำถึงเทพเทวาต่างๆ บลาๆ ตามที่ผมได้เรียนรู้มา
เพื่อทำการปลดปล่อยดวงวิญญาณของพวกเธอ ที่ถูกกักขังไว้ หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการต่างๆแล้ว …….
ผมจึงถามน้องว่า เป็นไง พวกเธอเป็นอิสระรึยัง น้องผมตอบมาว่า เรียบร้อยแล้วครับพี่ ผมได้แต่ดีใจพร้อมชวนกันกลับไปนอนที่นอนต่อ ก่อนจะแยกย้ายกันนอน
ผมพูดขึ้นมาดังๆ ระหว่างเดินกลับกุฎิกับน้อง ผมพูดขึ้นมาว่า หากพวกเธอมีอะไรให้มาเข้าฝันน้องผมนะ วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ ขอนอนยาวๆเลยนะ น้องหันมาบอก เหยยพี่อะ
หลังจากพวกผมนอนหลับไปได้สักพัก ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะว่าเสียงไก่ที่ร้องปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้นมา หันไปหาน้อง พร้อมปลุกให้มันตื่นเพราะว่าวันนี้
มันสัญญาว่า จะลุกขึ้นมาทำกับข้าวถวายหลวงปู่ พอมันตื่นขึ้นมาได้สักพัก มันบอกโหยย พี่ผมอยู่วัดนี้มาตั้งนานแล้ว ผมไม่เคยฝันเลยนะ
เพราะพี่นั่นแหละ ทำให้ผมฝันเลย ผมถามมันกลับไปว่า มันฝันอะไร? น้องผมเล่าว่า มันฝันว่ากระเป๋าเงินขาด เงินหล่นหายไปไหน พวกเรานั่งฟังมันแบบอมยิ้ม แตไม่ได้สนใจอะไร
หลังจากทำภารกิจช่วงเช้าจบลง เป็นประจำในทุกๆครั้ง ก่อนจะกลับผมและผองเพื่อนทั้งหลาย จะมานั่งสนทนาธรรม รวมถึงข้อต่างๆ กับหลวงปู่อยู่เสมอๆ ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันครับ
ผมนั่งลงใกล้ๆ ท่าน ได้สนทนาธรรมในเรื่องต่างๆ จนเพื่อนผมพูดถึงวัดๆ หนึ่งในจังหวัดลพบุรี นั่นคือ วัดมณีชลขันธ์ หลวงปู่แสง หลวงปู่รู้จักไหม ท่านบอกว่า
อ่อวัดมณีชลขันธ์ หลวงปู่แสงนั้นท่านเคยไปอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ” เป็นคาถาของหลวงปู่แสงนะ หลังจากฟังดังนั้น เพื่อนผมก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพ
คงจะแวะไปสักการะท่านสักหน่อยก็แล้วกัน หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อนผมก็มีสายเข้ามา มันขอตัวแยกออกไปรับสายนี้ก่อน เพราะเป็นสายจากทางบ้านโทรเข้ามา
คุยไปได้สักพัก มันกลับมาบอกว่า ตอนนี้แม่มันไม่ค่อยสบาย ตอนนี้อยู่ โรงพยาบาล อาจต้องรีบกลับ ไม่ได้แวะไปที่วัดมณีชลขันธ์นะ ผมและน้องก็บอกไม่เป็นไร เอาคนที่บ้านก่อน
แต่ก่อนจะลากลับ กทม หลวงปู่ท่านก็พูดขึ้นมาว่า ถ้ามีโอกาสจริงๆ อย่าลืมไปที่วัดน๊า ไหนๆก็ทางผ่านแล้ว พวกผมได้แต่ตอบรับแบบ ครับๆ แล้วก็ ขนของกันขึ้นมาเก็บไว้บนรถ
เพื่อที่จะเดินทางกลับกัน ระหว่างทางก็คุยกันไปคุยกันมา จนเพื่อนผมขับมาทางเส้นลพบุรี แล้วบอกว่า เปลี่ยนใจละ เราเร่งทำเวลา ไปที่วัดมณีชลขันธ์ เลยก็แล้วกัน ไหนๆก็ทางผ่านแล้ว
แวะเข้าไปสักการะ กันสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ยังไงพ่อก็อยู่กับแม่แล้ว เราหันหัวรถเดินทางมุ่งตรงไปยังวัดแห่งนี้โดยทันใด หลังจากเรามาถึงวัดมณีชลขันธ์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
เป็นวัดอกแตก เพราะมีน้ำล้อมรอบครับ เราต้องข้ามถนนจากวัด ไปยังเจดีย์ที่ระลึกถึงหลวงปู่แสง โดยมีป้ายเขียนเอาไว้ตรงหน้าของท่านว่า “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ” สำหรับรักษาคนป่วย
หลังจากเราเสร็จสิ้นภารกิจต่างๆ ในการเดินไหว้บริเวณรอบๆวัดแล้ว พวกเรามุ่งหน้ากลับกรุงเทพ โดยพลัน เพื่อให้เพื่อนของผมกลับไปดูแลคุณแม่ได้
ภาพตัดมาที่บนเตียงนอนที่ห้องของผมในตอนนี้ เรียกว่าสลบเลยก็ว่าได้ ในใจก็ขอนอนพักหน่อยแล้วกัน อาจจะเพราะเพลียแดดหรืออะไรไม่แน่ใจ สุดท้ายก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว แฮร่ ลืมอาบน้ำเลย
รุ่งเช้าเวลา 6.30 น. เป็นเวลาปกติของร่างกายของผมในขณะนี้ มักจะบังคับให้ตื่นนอน ในหัวยังคงติดกับพระคาถาของหลวงปู่แสง นั่นคือพระคาถา “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ”
ด้วยความที่มันมีอะไรๆ มาตะขิดตะขวงใจก็ไม่รู้ รึจะดลใจก็ไม่แน่ใจ ผมลุกขึ้นมา เปิด โน๊ตบุค เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริง ของพระคาถาบทนี้ หลังจากค้นไปค้นมาอยู่สักพักหนึ่ง
จนมาเจอบทความที่เขียนเอาไว้ว่า พระคาถา “รักษาโรคมะเร็ง” หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระคาถามีดังนี้ครับ
ตั้งนะโม 3 จบ จากนั้นให้ท่องดังนี้
พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา แล้วสูดลมกลั้นหายใจ 1 อึด
และภาวนาตามลมหายใจเข้าออกนึกในใจว่า
สัมพุทโธมะอะอิ “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ”
หลังจากผมอ่านบทความนี้จบลง เชื่อไหมว่า ภาพมันเหมือนวิ่งเข้ามาในหัว ตั้งแต่ที่หลวงปู่ท่านพูดถึงคนที่เราช่วยคนที่ 3 คนๆนี้คือใคร และ ใครป่วย เขาป่วยเป็นอะไร
มันระลึกขึ้นได้ในทันทีว่า ที่เราช่วยเพื่อนคนนี้ พ่อของเพื่อนคนนี้เป็นมะเร็งอยู่ครับ!!! ดอกแรกมันขึ้นมาแล้ว “เป็นมะเร็ง” แล้วพระคาถารักษาโรคมะเร็ง นั้นมาจาก
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่ง เราเพิ่งไปกราบไหว้ขอพรท่านที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี นี่หว่า เห้ย ดอกที่สอง และ ดอกที่สาม หากเราดื้อ ไม่มาที่วัดมณีชลขันธ์ เราก็จะไม่เจอ
จิ๊กซอร์ของพระคาถาบทนี้ “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ” ที่ทำให้เราได้มาหาความหมายต่อ จนมาเจอ กุญแจทั้ง 3 ดอกแต่ๆ ยังมีดอกที่ 4 นั่นคือ หลวงปู่แสงนั้นท่านเป็นบูรพาจารย์ของหลวงปู่โต
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพระคาถาชินบัญชร ซึ่งไว้มีโอกาส ผมจะมาเล่าถึงเรื่องนี้ครับ เมื่อผมคิดได้ดังนั้น ผมจึงเริ่มทักไปหาเพื่อนของผมคนนี้ครับ
อ่อหากใครสังเกตจะเห็นว่า สัมพุทโธมะอะอิ “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ” จะมีพระคาถาของหลวงปู่แสงที่ท่องว่า “ระโชหะระนัง ระชังหะระติ” แฝงอยู่ในพระคาถารักษามะเร็งนั่นเอง
โดยผมได้ส่งพระคาถารักษาโรคมะเร็งของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ให้กับเพื่อนเพื่อให้ไปบอกกับคุณพ่อ ซึ่งท่านกำลังรักษาตัวอยู่นั่นเอง หลังจากผมเล่าเรื่องราวต่างๆจบลง
เพื่อนคนนี้ก็บอกว่า ตัวเขานั้น สวดพระคาถาเงินล้านมาตั้งนานแล้ว หลายปีมาก เพื่อช่วยเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง โชคลาภต่างๆ ซึ่งหลังจากสวดพระคาถาเงินล้านมา ก็มีเงินเข้ามา
รวมถึงผ่านปัญหาต่างๆมาได้อย่างหวุดหวิดเสมอๆ แต่ไม่เคยได้ยินพระคาถานี้เลย ดีใจมากที่ได้พระคาถานี้ มาเป็นอีก 1 คาถาที่จะไว้สวดมนต์อีกบทหนึ่ง
รวมถึงหลวงปู่โตนั้น เธอได้ห้อยอยู่บนคอของเธอมาอย่างยาวนานและนับถือท่านอย่างมากครับ ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญมาก ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำรวมถึงหลวงปู่โต
เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เพื่อนคนนี้เคารพรักและศรัทธาในตัวท่านมาก คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ดลใจ ให้ผมได้เดินทางในครั้งนี้ เพื่อให้ผมได้ค้นพบพระคาถารักษาโรคมะเร็ง
เพื่อนำความต่างๆ มาให้กับเพื่อนของผม เพื่อให้มีกำลังใจในการต่อสู้รักษากับโรคมะเร็งที่พ่อของเธอนั้นประสบพบเจออยู่ก็เป็นได้
ดั่งที่หลายๆคนบอกเอาไว้ว่า หากเราทำบุญถึงแล้ว บุญนั้นจะกลับมารักษาเราเอง เรียกว่า บุญรักษาเลยก็ไม่ปานครับ
และเรื่องราวในการเดินทางครั้งนี้ของผมก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้ และครั้งหน้าจะเป็นเรื่องใด ติดตามชมกันได้เลยครับที่นี่ที่เดียวเท่านั้น